Search This Blog

Wednesday, April 2, 2008

Cars Insurance

ว่าด้วยเรื่อง ประกันภัยรถยนต์ Cars Insurance

"จ่ายชั้น 3 รับคุ้มครองเหมือนชั้น 1" คิกๆๆ ว่ากันว่า เมื่อถึงเวลาต่อประกันภัยรถยนต์แต่ละครั้ง ทำเอาใครหลายๆ คนต้องคิดหนัก เจ้าของรถทุกคนอยากได้รับบริการที่ดีและความคุ้มครองสมน้ำสมเนื้อกับมูลค่ารถ แต่ครั้งจะตัดใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัยประเภท 1 ก็ทำใจได้ยากเสียเหลือเกิน เพราะถือว่าเป็นเงินก้อนโตไม่ใช่น้อยหากในปีนั้นไม่ได้เคลมเลย บางคนอาจคิดว่าเสียดายเงิน แต่ทว่าหากจะซื้อแค่ประกันภัย (Insurance) ประเภท 3 เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้นมา ก็อาจสู้ค่าซ่อมรถไม่ไหวอีก

เรื่องประกันภัยรถยนต์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่สำหรับบางคนจ่ายเงินค่าประกันภัยไปแต่ละปี โดยที่ยังไม่แน่ใจว่ารถของตนเอง เหมาะกับกรมธรรม์ประเภทไหน สำหรับรถใหม่ป้ายแดง แน่นอนซื้อประกันภัยประเภท 1 เพราะได้รับความคุ้มครองทุกอย่างเต็มที่ รถยนต์ที่ใช้ในปีที่ 2 - 5 เจ้าของรถส่วนมากก็ยังคงเลือกประกันภัยชั้น 1 อยู่ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่หันมาเลือประกันภัยชั้น 3 ที่ราคาถูกกว่า เนื่องจากมองว่ารถที่ใช้ไม่ใช่รถใหม่ ส่วนรถคันไหนที่อายุปาเข้าไป 10 ปีแล้ว บางทีเจ้าของรถแทบไม่เห็นความสำคัญของการทำประกันภัย แค่มี พ.ร.บ ตามที่กฏหมายกำหนดเอาไว้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

ช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดประกันภัยรถยนต์ (Insurance) กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่มีผลิตภัณฑ์ประกันรูปแบบใหม่ เป็นลูกผสมความคุ้มครองการชนจากอุบัติเหตุเข้ามาไว้ในกรมธรรม์ประเภท 3 โดยมีจุดขายที่ราคาถูกแต่ออกค่าซ่อมรถให้ด้วย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า "ประเภท 2 พลัส" หรือ 3+

ประกันภัยประเภท 3 พลัส ให้ความคุ้มครองต่อตัวรถที่เอาประกัน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุการชน ซึ่งเดิมจะมีในประเภท 1 เท่านั้น และค่าเบี้ยประกันภัยไม่แพง ประมาณ 6,000-7,000 บาทเท่านั้น แต่มีข้อจำกัดคือวงเงินความคุ้มครองที่จะถูกจำกัดไว้ไม่เกิน 250,000 บาท ประกันภัยแบบ 3 พลัสนี้ พิจารณาในแง่ความคุ้มครองแล้วเหมาะกับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมาแล้วระยะหนึ่ง มูลค่าของรถไม่สูงนัก และเจ้าของรถให้ความสำคัญกับความเสียหายต่อตัวรถหากเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองกรณีรถหายหรือไฟไหม้ การคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่มีคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น ไม่ว่าถูกหรือผิด ซ่อมให้ทันทีในวงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อครั้ง พร้อมรับผิดชอบทรัพย์สินของคู่กรณี 1,000,000 บาทต่อครั้ง โดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ ไม่จำกัดอายุรถ และไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่

ทุกครั้งที่มีการเคลมและรถตนเองเป็นฝ่ายผิด เจ้าของรถต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ตามจริงแต่ไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง แต่ถ้ากรณีเป็นฝ่ายถูก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และบริษัทจะซ่อมให้ในวงเงิน 100,000 บาทต่อครั้งทันที โดยที่ไม่ต้องมานั่งเรียกร้องเงินจากคู่กรณีที่ไม่มีประกัน Black list Car Insurance

ข้อแตกต่างจาก ประกันชั้น 1 คือ ไม่คุ้มครองกรณีรถหายหรือไฟไหม้ โดยต้องมีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกทุกชนิดจึงสามารถเคลมรถตัวเองได้ ซึ่งถ้าเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะ เช่น ไปชนรั้ว เสา ชนกำแพง เสาไฟฟ้า โดนขูด บริษัทประกันภัยจะซ่อมให้กับคู่กรณีฝ่ายเดียว นั่นคือจะซ่อมให้กับเฉพาะสิ่งที่ชน เช่น ซ่อมรั้ว ซ่อมเสาไฟฟ้า ซ่อมกำแพงเท่านั้น และการซ่อมรถอาจต้องซ่อมเฉพาะอู่ในเครือข่ายของบริษัทประกันภัยเท่านั้น ไม่สามารถซ่อมอู่ห้างได้ ในช่วงที่ผ่านมา มีบริษัทประกันภัยหลายแห่ง กระโดดลงมาแข่งขันในเซ็กเมนต์นี้ เนื่องจากขายดี มีฐานลูกค้าผู้ที่ไม่อยากทำประกันภัยชั้น 1 เพราะค่าเบื้อแพงไป และไม่ต้องการซ่อมรถเองหากซื้อประกันภัยชั้น 3 พลัส โดย Insurance market share เบอร์หนึ่งในตลาดนี้น่าจะเป็น "เอเชีย 3 พลัส" ของบริษัทเอเชีย ประกันภัย 1950

แต่หากมองในความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคแล้ว เจ้าของรถหลายๆ คนซื้อรถราคาหลายแสนบาท ความคุ้มครองแค่ 100,000 บาท คงไม่เพียงพอ ยิ่งถ้าเป็นรถหรูหรือรถยุโรป เจ้าของรถคงไม่กล้าเสี่ยงซื้อประกันแบบนี้ แต่ก็วนเข้าเรื่องเดิมอีกที่ว่า ราคาประกันภัยประเภท 1 นั้นนับวันจะยิ่งปรับตัวสูงขึ้น ผู้บริหารหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดประกันภัยรถยนต์ นายชัย โสภณพานิช บมจ.กรุงเทพประกันภัย (KBI) กล่าวว่า บริษัทประกันภัยเริ่มตระหนักถึงภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากค่าอะไหล่รถยนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกปี แต่ข้อจำกัดเรื่องวงเงินทุนประกันของประเภท 3 พลัส กลายเป็นจุดบอดที่ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการทุนประกันสูงตามมูลค่าของรถได้ "ผลิตภัณฑ์ประเภท 2 พลัส จะมาช่วยเสริมช่องว่างของการประกันชั้น 1 กับชั้น 3 พิเศษที่มักเรียกกันว่า 3 พลัส ที่มีข้อจำกัดในเรื่องทุนประกันไม่สูงนัก ซึ่งในตลาดยังมีลูกค้าที่ต้องการทำประกันรถด้วยทุนประกันสูงกว่านี้" นายชัยกล่าว

แบบประกันภัยประเภท 2 พลัส จึงกลายเป็นสินค้าใหม่ที่น่าสนใจ เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการความคุ้มครองเหมือนการทำประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แต่เบื้อประกันจะถูกกว่าถึง 35-55% โดยให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์เนื่องจากการชับชนที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น ทุนประกันตั้งแต่ 350,000 บาท ด้วยเบี้ยประกัน 8,300 บาท ซึ่งผู้ทำประกันสามารถเลือกทุนประกันให้ตรงตามความต้องการได้ โดยรับประกันสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

นอกเหนือจากการให้ความคุ้มครองความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ได้แก่ ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย 1 ล้านบาทต่อคน สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง และความเสียหายต่อทรัพย์สิน 1 ล้านบาทต่อครั้ง รวมถึงคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 100,000 บาทต่อคนต่อครั้ง และการประกันภัยตัวผู้ขับขี่ 250,000 บาทต่อครั้ง แล้วยังให้ความคุ้มครองกรณีรถหาย และไฟไหม้ตามทุนประกัน สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท และยังคุ้มครองถึงภัยก่อการร้ายสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากประกันภัยรถยนต์ประเภท 3

ที่มา : Cars Insurance

No comments:

Post a Comment

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...